Powered By Blogger

วันจันทร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

แท่นพิมพ์ Gutenberg กับผลกระทบต่อสังคมในปัจจุบัน


โยฮันเนส เจนส์ไฟลช์ ลาเดน ซูม กูเตนเบิร์ก
(Johannes Gensfleisch zur Laden Zum Gutenberg)

                           
แท่นพิมพ์ กูเตนเบิร์ก (Gutenberg) เป็นวิวัฒนาการของการพิมพ์ เริ่มจากสมัยก่อนนั้น ไม่มีการทหรือพิมพ์หนังสือขึ้นมา เพราะไม่มีผู้คิดค้น จากนั้น โยฮันเนส เจนส์ไฟลช์ ลาเดน ซูม กูเตนเบิร์ก (Johannes        Gensfleisch zur Laden Zum Gutenberg) ได้ประดิษฐ์ แท่นพิมพ์เครื่องแรกของโลกในปี พ.ศ. 1997 และเขาได้ทำ   หนังสือเล่มแรกขึ้นม า เ ป็นพระคัมภีร์ ของ ศาส นาคริสต์     จึงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง มาถึงยุคปัจจุบัน ได้มี      หนังสือมากมาย ที่ใช้ เรียน อ่าน เพื่อประโยชน์มากมาย และได้มีวิวัฒนาการของแท่นพิมพ์มาเป็นเครื่องพิมพ์แบบรวดเร็วขึ้น ทำได้เยอะขึ้น ทำให้สังคมใน
    ปัจจุบันดีขึ้นมีการทำหนังสือมากมายโดยใช้แท่นพิมพ์ที่มีการวิวัฒนาการ    มาจาก แท่นพิมพ์ กูเตนเบิร์ก เช่น หนังสือพิมพ์ นิตยสาร หนังสือการ์ตูน หนังสือเรียน นิยาย หนังสือธรรมะ เป็นต้น ขายในราคาที่ย่อมเยา ทำใผู้      คนในปัจจุบันได้อ่านและหาความรู้ผ่านหนังสือต่างๆมากมาย   และสังคมในปัจจุบันก็ขาดหนังสือไม่ได้ เพราะหนังสือมีอะไรหลายอย่าง ทำให้ได้รู้หลายเรื่อง ในปัจจุบันนี้ เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีและสะดวกขึ้นในการจะพิมพ์หนังสือหรือรายงานเพราะมีการทำเป็นแป้นพิมพ์ ที่ทุกคนสามารถใช้งานได้ แค่พิมพ์ลงไปในคอมพิวเตอร์ ผ่านโปรแกรมต่างๆ แล้วปริ้นออกมากผ่านเครื่องปริ้น แค่นี้ทุกอย่างก็ง่ายดายไปหมด ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น เป็นผลมาจากยุคของ แท่นพิมพ์ กูเตนเบิร์ก (Gutenberg) โยฮันเนส เจนส์ไฟลช์ ลาเดน ซูม กูเตนเบิร์ก (Johannes Gensfleisch zur Laden Zum Gutenberg) คือผู้ที่ทำให้เกิดวิวัฒนาการที่ดีขึ้นในปัจจุบัน 



วันพุธที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ชีวิตน้องใหม่


  มีหลายคนได้กล่าวไว้ว่า ชีวิตแห่งการเป็นนักศึกษาในรั้วมหาลัยนั้นเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดมันเป็นช่วงเวลาที่ใช้ในการตักตวงทั้งความรู้และประสบการณ์ต่าง ๆ ก่อนออกไปใช้ชีวิตจริงในสังคม   ช่วงเวลาที่ถูกำหนดไว้ ในรั้วมหาลัยไม่ว่าจะเป็นสองปี สี่ปี หรืออาจมากกว่านั้น เราจะใช้มันให้คุ้มค่าได้อย่างไร
             
               ก้าวแรกของการเข้ามาสู่รั้วมหาลัย ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเจอกับอะไร มีเพียงแต่เสียงกระสิบที่ว่า ลำบากนะ เหนื่อยนะ ยากนะ สิ่งเหล่านี้ได้เป็นเสียงที่ดังกระจายไปทั่วสำหรับเด็กใหม่ที่เพิ่งเข้ามาในรั้วมหาลัยอย่างผม  สิ่งแรกที่ได้พบเจอคือ เพื่อนใหม่  การทักทายรอยยิ้มที่เขินอายของบุคคลที่ไม่รู้จักกัน เริ่มต้นขึ้น  การแนะนำตัวระหว่างบุคคลสองคน สามคน และหลายๆ คน ได้เพิ่มขึ้น ณ ที่แห่งนี้ จนกลายเป็นการพูดคุย  สิ่งที่ผมกลัวสิ่งที่สองนอกจากการเจอบุคคลที่เรียกว่าเพื่อนใหม่แล้ว เสียงกังวานในสมองของผมคือ การรับน้องใหม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีการกล่าวถึงกันมากในการเข้ามาสู่รั้วมหาลัย  บุคคลที่สำคัญในการรับน้องใหม่คือรุ่นพี่ ซึ่งเป็นที่รู้กันว่า เขาจะพยายามที่จะทักทาย โดยวิธีต่างๆ โดยไม่มีใครคาดคิดว่าจะเป็นแบบไหน และน่ากลัวมากขนาดไหนจะเป็นเหมือนที่เสียงอ้างลือหรือไม่  ผมไม่อาจรู้ได้  การรับน้องใหม่เป็นการละลายพฤติกรรมของนักศึกษาใหม่ดังนั้นจึงรวมตัวของผมเองด้วย ที่มาจากต่างที่ต่างถิ่นให้รักและสามัคคีกัน เพื่อการอยู่ร่วมกันในรั้วมหาลัย จะมีการต้อนรับจากรุ่นพี่ในรูปแบบไหนนั้น ไม่มีใครสามารถรู้ได้ มีเพียงแต่กล่าวที่ว่า มาก่อนเป็นพี่  มาหลังเป็นน้อง มาพร้อมเป็นเพื่อน เป็นคำเตือนให้ผู้ที่เข้ามาใหม่ได้รับรู้และคำนึงอยู่ตลอดเวลาว่าต้องเคารพ และรู้สถานะของตัวเอง
                ช่วงเวลาที่ผ่านมาจากการรับน้อง การทำกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งด้านการเรียนและนันทนาการ ทำให้ผมเกิดความสนิทสนมระหว่างเพื่อนฝูง ทั้งนอกและในคณะมากขึ้น ช่วงระหว่างการนั้นจะมีทั้งเรื่องที่เหนื่อยยาก ลำบาก หรือแม้แต่ทุกข์ แต่ทุกอย่างมันย่อมผ่านไปได้ด้วยดี เพราะความช่วยเหลือจากทั้งเพื่อน รุ่นพี่ และที่สำคัญคณาจารย์ที่ค่อยแลเราอยู่ห่างๆ  ความช่วยเหลือทั้งด้านการเรียน กิจกรรม หรือแม้แต่เรื่องส่วนตัว ที่ได้รับจากบุคคลเหล่านี้ มันทำให้ผมรู้สึกมีความอบอุ่นอีกอย่างหนึ่งที่ถ้าไม่ได้สัมผัสด้วยตัวเอง ก็จะไม่สามารถรับรู้มันได้เลย  มันเปรียบเสมือนอ้อมกอดจากครอบครัวซึ่งประกอบไปด้วยเพื่อนฝูง รุ่นพี่ และคณาจารย์ โดยมีรั้วมหาลัยเปรียบเสมือนบ้านเป็นเกราะป้อ
งกันจากภัยอันตรายต่าง ๆ ที่จะมาทำร้ายและเป็นบ่อเกิดที่จะทำให้เราอยู่ในรั้วมหาลัยนี้  ดังนั้น ช่วงเวลานี้ สิ่งเหล่านี้ ที่ผมเรียนรู้มันคือประสบการณ์ชีวิตในรั้วมหาลัย เพื่อนำไปใช้ในชีวิตจริงในสังคมต่อไป           
ข้างๆ พี่สาวคาบ
(อย่าคิดเป็นอย่างอื่นหล่ะ)
 หลายคนอาจจะคิดว่าการอยู่ในรั้วมหาลัยนั้นมันคงจะลำบาก น่ากลัวหรือสนุกสนาน อิสระ แต่ใครหลายคนอาจจะคิดถูกหรือก็ได้ เพราะไม่มีใครรู้ว่าเมื่อเราเข้ามาในรั้วมหาลัยแล้ว เราจะเจอกับอะไร เพราะการเข้ามาในรั้วมหาลัยนั้นก็เหมือนเรากำลังนั่งดูหนังเรื่องหนึ่ง ซึ่งเราไม่อาจจะรู้ว่าตอนจบนั้นจะเป็นอย่างไร ดังนั้นเราก็จะต้องติดตามดูมันจนจบเพื่อจะได้รู้ว่าผลสุดท้าย เรื่องราวเหล่านี้จะจบที่นางเอกกับพระเอกจะรักกันไหมหรือว่าทั้งคู่จะตาย เหมือนการเข้าไปสู่รั้วมหาลัย ผลสุดท้ายตอนจบเราจะได้เป็นอย่างที่เราได้วาดฝันไว้ก่อนเข้ามาสู่รั้วมหาลัยหรือไม่ หรือว่าเราจะอยู่ต่อในสิ่งที่เรียกว่า รั้วมหาลัย
เพื่อนโผมเองคาบ เทพๆทั้งน้าน